เดเร็ก ปริ้นซ์
เนื้อหา
(โปรดคลิกเพื่อเลื่อนลงไปในตำแหน่งที่ต้องการ)
- ชีวิตในช่วงแรก
- สงครามโลกครั้งที่ 2
- ลิเดีย ปริ้นซ์
- รูธ ปริ้นซ์
- การเสียชีวิต
- ครูสอนพระคัมภีร์
- พันธกิจเดเร็ก ปริ้นซ์
- ถาม & ตอบ
- ค้ำพูดของเดเร็ก ปริ้นซ์
- รายชื่อหนังสือ
ชีวิตในช่วงแรก
เดเร็ก ปริ้นซ์ เกิดในครอบครัวทหารอังกฤษในเมืองแบงกาลอร์ ประเทศอินเดีย ในปี 1915 เมื่อเขาอายุได้ 14 ปี เขาได้รับทุนการศึกษาจากวิทยาลัยอีตัน ซึ่งเป็นที่ๆ เขาได้ศึกษาภาษากรีกและละติน และเขาได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นที่ๆ เขาได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกสโมสรปรัชญาโบราณและสมัยใหม่ที่วิทยาลัยคิงส์ เดเร็กยังได้ศึกษาภาษาอื่นๆ อีกหลายภาษาขณะที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ รวมทั้งภาษาฮีบรูและอาราเมค ซึ่งต่อมาเขาได้ศึกษาเพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัยฮีบรู ในกรุงเยรูซาเล็ม
แม้ว่าเดเร็กจะเติบโตขึ้นในคริสตจักรของแองกลิกัน แต่ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เขาได้ละทิ้งรากฐานชีวิตคริสเตียน และยอมรับโลกทัศน์ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า เมื่อตรึกตรองถึงช่วงเวลาหลายปีของการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เขาได้กล่าวในภายหลังว่า:
“ฉันได้เรียนรู้ภาษาที่หลากหลาย และได้ลองทำสิ่งต่างๆ มากมาย แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันต้องยอมรับว่า ฉันสับสนและข้องใจ ผิดหวังและท้อแท้ และไม่รู้ว่าจะหาคำตอบได้จากที่ใด”
สงครามโลกครั้งที่ 2
อาชีพนักวิชาการของเดเร็กได้ถูกขัดจังหวะจากการโจมตีของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1940 เขาได้รับการเกณฑ์ทหารเข้าในหน่วยเสนารักษ์ (บริการด้านการแพทย์) ของกองทัพบก ในฐานะของทหารซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการรบ ด้วยเหตุผลและความเชื่อส่วนตัว และเพื่อที่จะศึกษาต่อระหว่างการรับราชการทหาร เดเร็กได้นำพระคัมภีร์ไปกับเขาด้วย ซึ่งในเวลานั้นเขาถือว่าพระคัมภีร์เป็นผลงานเชิงปรัชญามากกว่าที่จะเป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ได้รับจากการดลใจ
ในวันที่ 31 กรกฎาคม 1941 ขณะที่เขาประจำการอยู่ที่ค่ายฝึกทหารในสการ์เบอโร, ยอร์คเชียร์ เขาได้มีประสบการณ์เผชิญหน้ากับพระเยซูอย่างทรงพลังซึ่งได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของเขา เมื่อเขาระลึกถึงประสบการณ์นั้น เขากล่าวว่า
“ฉันได้ยินเสียงของพระเยซูตรัสอย่างชัดเจนมากๆ ผ่านพระวจนะในพระคัมภีร์ และนับตั้งแต่วันที่ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์จนถึงวันนี้ มี 2 สิ่งที่ฉันไม่เคยสงสัยอีกเลย คือ ฉันไม่เคยสงสัยว่า พระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่ และฉันไม่เคยสงสัยว่า พระคัมภีร์ คือ พระวจนะของพระเจ้า”
ดังนั้น นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางฝ่ายวิญญาณของครูสอนพระคัมภีร์ที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของศตวรรษที่ 20
เกือบจะในทันทีหลังจากที่เขาได้กลับใจใหม่มาเป็นคริสเตียน เดเร็กถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ในทะเลทรายของแอฟริกาเหนือ เขาได้ใช้เวลา 3 ปีที่นั่นในตำแหน่งเจ้าหน้าที่แพทย์ประจำกองทัพ และเขาได้อุทิศเวลาว่างเพื่อศึกษาพระคัมภีร์และพัฒนาความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า
เมื่อสงครามยุติลง เดเร็กได้รับการปลดประจำการจากกองทัพขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม และเขาได้มีโอกาสเป็นสักขีพยานถึงความสำเร็จของคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับการกลับมาเป็นชนชาติยิวในประเทศอิสราเอลด้วย
ลิเดีย ปริ้นซ์
ในปี 1946 เดเร็กได้แต่งงานกับลิเดีย คริสเตนเซ่น ภรรยาคนแรกของเขา ซึ่งเป็นมิชชันนารีชาวเดนมาร์กที่ดูแลบ้านเด็กใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ในการแต่งงานครั้งนี้ทำให้เขาได้กลายเป็นพ่อของลูกสาวบุญธรรม 8 คน
เดเร็กและลิเดียได้อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มจนกระทั่งหลังการก่อตั้งรัฐยิวในอิสราเอลในปี 1948 ต่อมาได้เกิดสงครามเรียกร้องอิสรภาพระหว่างอาหรับและอิสราเอล เขาจึงถูกบังคับให้ละทิ้งบ้านและอพยพไปยังอังกฤษ ทันทีที่เขาได้ที่พัก ซึ่งอยู่ในใจกลางกรุงลอนดอนเป็นที่เรียบร้อย เดเร็กได้เริ่มต้นเทศนาที่ สปีคเกอร์สคอร์นเนอร์ ในไฮด์ปาร์ค ซึ่งเขามักจะไปพร้อมกับลิเดียและลูกสาวบางคน ในที่สุดผู้เข้าร่วมประชุมก็ได้รับเชิญให้ไปยังบ้านของเขา เพื่อรับการปรนนิบัติดูแลอย่างต่อเนื่อง และคริสตจักรใหม่ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นที่นั่น สิ่งนี้ดำเนินสืบไปจนถึงปี 1956 เมื่อครอบครัวปริ้นซ์ได้ตอบรับการทรงเรียกของพระเจ้าให้ย้ายไปเป็นมิชชั่นนารีที่ประเทศเคนยาในเดือนมกราคม 1957
ในปีต่อๆ มา เดเร็กและลิเดียได้เห็นการเกิดผลมากมายจากการปรนิบัติรับใช้คนในท้องถิ่น รวมถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งฟื้นขึ้นจากความตายผ่านการอธิษฐาน
ในปี 1962 ทั้งคู่ได้รับอุปการะเด็กทารกกำพร้าชาวเคนยาคนหนึ่ง และพวกเขาอยู่ระหว่างการพักงานที่แคนนาดา ในเวลานั้นลิเดียมีอายุเจ็ดสิบต้นๆ ซึ่งมากกว่าเดเร็ก 25 ปี และเธอปรารถนาที่จะตั้งรกรากอยู่ใกล้กับเพื่อนๆ และผู้เชื่อคนอื่นๆ ด้วยความปรารถนาของเธอนี้ เดเร็กจึงตอบรับคำเชิญให้ไปเป็นครูสอนพระคัมภีร์ที่คริสตจักรเพนเทคอสต์ ในมินนิอาโปลิส
อย่างไรก็ตาม ก่อนสิ้นทศวรรษครอบครัวปริ้นซ์ได้ย้ายที่อยู่อีก 3 ครั้ง คือ ที่ซีแอตเทิล ชิคาโก และที่ฟอร์ต ลอเดอร์เดล ตามลำดับ การเจริญเติบโตของงานพันธกิจทำให้มีประตูใหม่ๆ ที่ไม่คาดคิดมาก่อนเปิดออกมากมาย แต่ทั้งคู่ก็ยังคงสัตย์ซื่อต่อการทรงเรียกของพระเจ้าอยู่เสมอ
ในปี 1968 พันธกิจการสอนของเดเร็กได้เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มแคริสเมติก เขาได้เดินทางไปอย่างกว้างขวาง และเทศนาพระวจนะของพระเจ้าด้วยฤทธิ์อำนาจและสิทธิอำนาจ
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 1975 ลิเดีย ปรินซ์ ได้จากไปอย่างสงบด้วยวัย 85 ปี โดยมีคนในครอบครัวรายล้อมอยู่รอบเธอ เธอเป็นผู้เขียนหนังสือ "การนัดหมายในกรุงเยรูซาเล็ม (Appointment in Jerusalem)" ซึ่งตีพิมพ์ไม่นานก่อนที่เธอจะเสียชีวิตในปีเดียวกัน
รูธ ปริ้นซ์
ในปี 1978 เดเร็กแต่งงานกับภรรยาคนที่สอง คือ รูธ เบเกอร์ ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวชาวอเมริกันที่มีลูกบุญธรรม 3 คน พวกเขาพบกันในกรุงเยรูซาเล็มขณะที่เดเร็กกับเพื่อนๆ กำลังไปเที่ยวที่อิสราเอล
ทั้ง 2 คนได้เริ่มพันธกิจเฟสใหม่ร่วมกันด้วยการเปิดตัวรายการวิทยุประจำวัน ชื่อ "วันนี้กับเดเร็ก ปริ้นซ์ (Today with Derek Prince)" เริ่มแรกออกอากาศทางสถานีวิทยุ 8 แห่ง จำนวนผู้ฟังได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมรดกคำสอนของพันธกิจนี้ก็มั่นคงเป็นปึกแผ่น คำสอนที่ถูกบันทึกไว้เหล่านี้ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกเป็นภาษาต่างๆ มากมาย
รายละเอียดเรื่องราวความรักของเดเร็กและรูธได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ "พระเจ้าทรงเป็นผู้จัดหาคู่ให้ (God is a Matchmaker)" ซึ่งทั้งคู่ร่วมกันเขียนและตีพิมพ์ในปี 1986
รูธได้จากไปขณะที่เธออยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 1998 ภายหลังการเจ็บป่วยในช่วงเวลาสั้นๆ เพราะเธอไม่ได้รับการวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้อง เธออายุได้ 68 ปีและร่วมรับใช้เคียงข้างเดเร็กอย่างสัตย์ซื่อมานานกว่าสองทศวรรษ
ความโศกเศร้ามีชัยเหนือเดเร็ก ความขมขื่นเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขา เมื่อเขาตระหนักว่าความรู้สึกนี้จะทำให้เขาห่างไกลจากพระเจ้า เขาจึงได้ประกาศต่อหน้าฝูงชนที่มาร่วมงานไว้อาลัยของรูธ ขณะที่หีบบรรจุศพกำลังถูกหย่อนลง โดยการขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของรูธ และยืนยันความรักที่เขามีต่อเธออย่างจริงใจ รวมทั้งความไว้วางใจที่เขามีต่อพระบิดาในสวรรค์ เมื่อเขานึกย้อนถึงช่วงเวลาที่เป็นเหมือนหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต เขากล่าวว่า
“มันเป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของฉัน ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้หากยังคร่ำครวญถึงแต่ความรู้สึกที่ฉันมีต่อรูธ ฉันจะตำหนิพระเจ้าและประตูแห่งชีวิตของฉันก็จะถูกปิดลง นี่เป็นวิธีเดียวที่ฉันสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้”
การเสียชีวิต
เดเร็ก ปรินซ์ ได้เสียชีวิตลงด้วยสาเหตุของธรรมชาติเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2003 ขณะที่อายุได้ 88 ปี สุขภาพของเขาทรุดโทรมมาเป็นเวลานาน และเขาได้จากไปขณะที่นอนหลับในบ้านของเขาในกรุงเยรูซาเล็ม
ศพของเขาถูกฝังอยู่ที่สุสานของคริสตจักรอัลไลแอนซ์ (Alliance Church) ในกรุงเยรูซาเลม และมีถ้อยคำจารึกที่หลุมฝังศพของเขาว่า
ครูสอนพระคัมภีร์
ในปี 1944 ขณะที่เขาประจำการอยู่ที่คลังเวชภัณฑ์ในคีเรียต มอตซกิ้น (Kiriat Motzkin) ประเทศอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับเขาอย่างชัดเจนว่า:
“เจ้าถูกเรียกมาเพื่อเป็นครูสอนพระวจนะแห่งความจริง ความเชื่อ และความรัก ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ - สำหรับคนทั้งหลาย”
ดูเหมือนว่าในขณะนั้นโลกยังอยู่ห่างไกลจากสถานที่ๆ เดเร็กอยู่ แต่ในเวลาต่อมาก็เป็นจริงตามที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้เมื่อปี 1941
“มันจะเป็นเหมือนลำธารเล็กๆ และจากลำธารก็จะกลายเป็นแม่น้ำ จากแม่น้ำก็จะกลายเป็นแม่น้ำใหญ่ แม่น้ำใหญ่จะกลายเป็นทะเล ทะเลจะกลายเป็นมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ และมันจะเป็นไปโดยผ่านทางเจ้า แต่จะเป็นได้อย่างไรนั้น เจ้าไม่ต้องรู้, เจ้าไม่สามารถรู้ได้, เจ้าจะไม่รู้”
ทุกวันนี้ เมื่อใดที่มีการพูดถึงหลักศาสนศาสตร์ที่ถูกต้อง หรือการสอนพระวจนะของพระเจ้าที่ชัดเจนและเป็นระบบ คนก็จะระลึกถึงชื่อของเดเร็ก ปรินซ์ ความเชื่ออันมั่นคงและการอุทิศตนในการศึกษาพระคัมภีร์ทำให้เขากลายเป็นครูสอนพระคัมภีร์ที่ได้รับความนับถือและชื่นชมมากที่สุดคนหนึ่งในสมัยของเขา
เดเร็กเป็นผู้เขียนหนังสือมากกว่า 100 เล่ม และหนังสือเหล่านี้เป็นแหล่งข้อมูลในการสอนพระคัมภีร์อันล้ำค่า ทำให้การทำงานและความปรารถนาอันแรงกล้าในชีวิตของเขากลายเป็นอมตะ หนังสือของเขาได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 100 ภาษา และยังคงเป็นแหล่งของการสร้างแรงบันดาลใจและการศึกษาสำหรับคริสเตียนหลายล้านคนทั่วโลก
หนึ่งปีก่อนการเสียชีวิตของเดเร็กในปี 2003 นักข่าวของหนังสือพิมพ์เดอะเยรูซาเล็มโพสต์ได้ถามเขาว่า อะไรคือความจำเป็นสูงสุดสำหรับคริสตจักรในปัจจุบัน เขาตอบว่า “ครูสอนพระคัมภีร์” หมายถึง “ครูสอนพระคัมภีร์ที่จริงจัง” เมื่อนักข่าวได้นึกถึงการสนทนาดังกล่าว เขาได้เขียนไว้ในปี 2006 ว่า "แท้จริงแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่เหมือนเขา (เดเร็ก)"
พันธกิจเดเร็ก ปริ้นซ์
ในเดือนพฤษภาคม 1971 เดเร็กได้เปิดสำนักงานอย่างเป็นทางการในฟอร์ต ลอเดอร์เดล (Fort Lauderdale) รัฐฟลอริดา เพื่อจัดพิมพ์และเผยแพร่คำสอนของเขา เดิมชื่อ สำนักพิมพ์เดเร็ก ปริ้นซ์ (Derek Prince Publications) การดำเนินงานค่อยๆ ขยายตัว และในเดือนธันวาคม 1990 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น พันธกิจเดเร็ก ปริ้นซ์ (Derek Prince Ministries - DPM)
ปัจจุบันพันธกิจเดเร็ก ปริ้นซ์ (DPM) มีสำนักงานกว่า 45 แห่งทั่วโลก รวมถึงออสเตรเลีย แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ รัสเซีย แอฟริกาใต้ สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา พันธกิจนี้ยังคงมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการเป็นคลังแห่งความรู้ให้กับผู้ที่หิวกระหายฝ่ายวิญญาณ อันเป็นการสนับสนุนวิสัยทัศน์ที่เดเร็กได้แบ่งปันไว้ในเดือนกรกฎาคม 2002
“มันเป็นความปรารถนาของฉัน และฉันก็เชื่อว่ามันเป็นความปรารถนาของพระเจ้าด้วย ที่พันธกิจนี้ยังคงดำเนินงานต่อไป ซึ่งพระเจ้าได้เริ่มต้นผ่านฉันเมื่อหกสิบปีที่แล้ว จนกว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา”